หากต้องการการสื่อสารที่ “เร็ว เสถียร ปลอดภัย” สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) คือโครงสร้างพื้นฐานหลักของอินเทอร์เน็ต ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และโทรคมนาคม ปี 2025 ธุรกิจทุกขนาดยังพึ่งพาไฟเบอร์ออฟติกเพื่อรองรับงาน Cloud, วิดีโอ 4K/8K, IoT และระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ที่ต้องการแบนด์วิดท์สูงและสัญญาณนิ่ง
สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) คืออะไร?

สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic) คือสายสัญญาณที่ใช้ใยแก้วนำแสงหรือใยพลาสติกเป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล แทนที่จะใช้สัญญาณไฟฟ้าเหมือนสายทองแดงแบบดั้งเดิม สายชนิดนี้ใช้การส่งสัญญาณด้วยแสงที่สะท้อนภายในแกนใยแก้ว ทำให้สามารถรับ–ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง มีความเสถียร และครอบคลุมระยะทางไกลโดยที่สัญญาณไม่สูญเสียมากนัก โครงสร้างของ fiber optic cable ประกอบด้วยแกนกลางที่ทำหน้าที่เป็นเส้นทางให้แสงเดินทาง ชั้นหุ้มที่ควบคุมการสะท้อนของแสง และปลอกภายนอกที่ช่วยปกป้องเส้นใยให้ทนต่อการติดตั้งและสภาพแวดล้อม
ดังนั้น สายไฟเบอร์ออฟติกจึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายในบ้าน การใช้งานในศูนย์ข้อมูล (Data Center) การสื่อสารระหว่างเมือง ไปจนถึงระบบโทรคมนาคมและโครงข่ายระดับประเทศ ซึ่งสายไฟเบอร์ออฟติก จะต้องทำการส่งข้อมูลด้วย “แสง” ผ่านแกนใยแก้ว/ใยพลาสติก ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก
- Core (แกนกลาง) ช่องแสงวิ่งผ่าน ขนาดเล็กระดับไมโครเมตร
- Cladding (ชั้นหุ้ม) หุ้มแกนกลาง มีดัชนีหักเหต่ำกว่า เพื่อให้เกิดการสะท้อนกลับภายใน
- Coating/Jacket (ปลอกหุ้ม) ปกป้องใยแก้วจากความชื้น การดัดงอ และแรงกระแทก
ชนิดของสายไฟเบอร์ออฟติก ที่นิยมใช้บ่อย
- Single Mode (SMF) แกน ~9 µm ส่งไกลหลายสิบ–ร้อยกม. เหมาะโทรคมนาคม/ลิงก์ระหว่างอาคาร
- Multimode (MMF) แกน 50/62.5 µm ส่งใกล้–กลาง เหมาะภายในอาคาร/ดาต้าเซ็นเตอร์ (OM2/OM3/OM4/OM5)
หลักการทำงานของสายไฟเบอร์ออฟติก
การทำงานของ fiber optic cable เริ่มจากอุปกรณ์ส่งสัญญาณทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิจิทัลให้กลายเป็นพัลส์แสง แสงนี้จะถูกส่งเข้าสู่แกนกลางของใยแก้วและสะท้อนกลับภายในอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถเดินทางไปได้ไกลโดยไม่รั่วไหลออกไปนอกเส้นใย เมื่อถึงปลายทาง อุปกรณ์รับสัญญาณจะตรวจจับพัลส์แสงและแปลงกลับมาเป็นข้อมูลดิจิทัลอีกครั้ง
อุปกรณ์ส่ง (Optical Transmitter) ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าหรือข้อมูลดิจิทัลให้กลายเป็นแสง อุปกรณ์ประเภทนี้มักใช้หลอดเลเซอร์ไดโอด (Laser Diode) หรือ LED ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน เช่น การส่งข้อมูลระยะใกล้หรือการสื่อสารระยะไกล พัลส์แสงที่ถูกสร้างขึ้นจะวิ่งเข้าสู่แกนกลางของใยแก้วและเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูง
เมื่อแสงเดินทางภายในสายไฟเบอร์ออฟติกจนถึงปลายทาง จะเข้าสู่ อุปกรณ์รับ (Optical Receiver) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับพลังงานแสงและแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้าหรือข้อมูลดิจิทัล เพื่อให้ระบบเครือข่ายสามารถนำข้อมูลไปใช้งานต่อได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว
การทำงานของทั้งสองอุปกรณ์นี้เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโลกดิจิทัลเข้าด้วยกัน อุปกรณ์ส่งจะทำให้ข้อมูลกลายเป็นแสงเพื่อเดินทางผ่านสายไฟเบอร์ออฟติก ขณะที่อุปกรณ์รับจะดึงข้อมูลกลับออกมาในรูปแบบที่มนุษย์และเครื่องจักรสามารถใช้งานได้
สรุปหลักการ ข้อมูล → พัลส์แสง → เดินทางในแกนใยแก้วด้วยการสะท้อนภายใน → ถูกตรวจจับและแปลงกลับเป็นข้อมูลไฟฟ้า → ใช้งานจริงในอินเทอร์เน็ต/ดาต้าเซ็นเตอร์/โทรคมนาคม ดังนั้น ข้อดีที่ชัดเจนของเทคโนโลยีนี้คือ ความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงมากและสามารถรองรับการใช้งานระดับกิกะบิตไปจนถึงเทราบิตต่อวินาที อีกทั้งยังไม่ถูกรบกวนจากสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าเหมือนสายทองแดง การส่งข้อมูลจึงมีเสถียรภาพสูงและมีความปลอดภัยมากกว่า

การเลือกสายไฟเบอร์ออฟติกให้เหมาะกับงาน
- เลือกจากระยะ & แบนด์วิดท์ เลือก SMF สำหรับไกล/สปีดสูง, MMF สำหรับอาคาร/ระยะใกล้
- เลือกจากสภาพแวดล้อม Outdoor ใช้ Loose Tube/ADSS, Indoor ใช้ Tight Buffer
- เลือกความโค้งงอ เลือกชนิด Bend-Insensitive (เช่น G.657A1/A2) เมื่อต้องเดินโค้ง/เข้าอุปกรณ์แน่น
- เลือกจากคอนเนกเตอร์ & ผิวขัด LC/SC, UPC/APC ให้ตรงอุปกรณ์ปลายทาง
- เลือกจากมาตรฐานอ้างอิง ITU-T (G.652D, G.657A), ISO/IEC, TIA/EIA
วิธีทำการทดสอบสายไฟเบอร์ออฟติก
เมื่อติดตั้งยไฟเบอร์ออฟติกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องทำการทดสอบสายก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าสายเบอร์นั้นได้รับส่งข้อมูลได้ตามต้องการ ซึ่งการทดสอบด้านต่างๆ มีดังนี้
- การทดสอบด้านเมคานิก (Mechanical Tests)
- การทดสอบด้านกายภาพ (Geometrical Tests )
- การทดสอบเกี่ยวกับคุณสมบัติของสาย (Optical Tests)
- การทดสอบเกี่ยวกับการรับส่งสัญญาณ (Transmission Tests)

การสูญเสียของสัญญาณแสง (Loss) ในสายไฟเบอร์ออฟติก
แม้ว่า fiber optic cable จะมีประสิทธิภาพสูง แต่การส่งสัญญาณแสงก็ยังคงมีการสูญเสีย (Optical Loss) อยู่เสมอ ปริมาณการสูญเสียจะถูกวัดในหน่วย dB (decibel) ต่อระยะทาง เช่น dB/km ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าพลังงานแสงลดลงมากน้อยเพียงใดเมื่อเดินทางในสาย โดยสาเหตุสำคัญของการสูญเสียในสายไฟเบอร์ออฟติก ได้แก่
- ความสูญเสียพลังงาน (Power) ของ Fiber Optic ขึ้นอยู่กับ ความยาวคลื่นที่ใช้ ความยาวคลื่นยิ่งมากเท่าใด อัตราการสูญเสียของแสง จะน้อยลง
- สำหรับ Silica Glass นั้น ความยาวคลื่นสั้นที่สุด จะมีอัตราการสูญเสียมากที่สุด
- อัตราการสูญเสีย Power ที่น้อยที่สุด ได้แก่ ความยาวคลื่น 1550 nm
- หน่วยวัดที่แสดงการสูญเสียของ Power ได้แก่ Decibel (dB) โดยมีหน่วยคิดเป็น dB ต่อกิโลเมตร (dB/km)
- ค่านี้ ถูกนำมาคำนวณ โดยเอาความยาวทั้งหมดของสาย Fiber Optic คิดเป็น Km
ในการติดตั้งจริง วิศวกรมักใช้เครื่องมือวัด เช่น Optical Power Meter และ OTDR (Optical Time Domain Reflectometer) เพื่อตรวจสอบค่าการสูญเสียในระบบ ค่า Loss ที่ต่ำหมายถึงคุณภาพสายที่ดีและการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ
ทำไมสายไฟเบอร์ออฟติกยังสำคัญในปี 2025
ในปี 2025 ปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตและข้อมูลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการสตรีมมิ่งวิดีโอความละเอียดสูง เช่น การสตรีมวิดีโอความละเอียด 4K/8K, การทำงานบนระบบ Cloud, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ที่ต้องการสัญญาณเสถียรตลอดเวลา ซึ่งต้องการแบนด์วิดท์และความเสถียรสูงสุด การที่สายไฟเบอร์ออฟติก มี Loss ต่ำ ทำให้ยังเป็นเทคโนโลยีหลักที่รองรับการเชื่อมต่อในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ โทรคมนาคม หรือเครือข่ายภาครัฐ
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) คือ คำตอบของการสื่อสารในยุคดิจิทัล ด้วยความเร็วสูง ระยะทางไกล เสถียรภาพที่เหนือกว่าสายทองแดง และการสูญเสียสัญญาณที่ต่ำ แม้จะมี Loss บางส่วนแต่สามารถควบคุมและตรวจสอบได้ด้วยมาตรฐานการติดตั้งและการทดสอบที่ถูกต้อง ทำให้ไฟเบอร์ออฟติกยังคงเป็นเส้นเลือดหลักของการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ในปี 2025 และต่อไปในอนาคต
หากคุณกำลังมองหาสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) ที่ไว้ใจได้ ทนทาน มีคุณภาพ มาตรฐานสากล และพร้อมบริการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการเชื่อมต่อของคุณมั่นใจได้ในระยะยาว บริษัท Focomm ผู้จัดจำหน่ายสายไฟเบอร์ออฟติกคุณภาพสูง ครอบคลุมทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ไม่ว่าจะเป็น ADSS, Drop Cable, Loose Tube และรุ่น Bend-Insensitive ที่ทนต่อการดัดโค้ง ตอบโจทย์ทั้งงานโครงการ งานโครงข่ายองค์กร ไปจนถึงผู้รับเหมาที่ต้องการสินค้าได้มาตรฐานสากล ติดต่อได้ที่ Line Official : @focomm หรือโทร 081 659 4477