อินเทอร์เน็ตและระบบสื่อสารมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ อุตสาหกรรม และชีวิตประจำวัน การติดตั้งเครือข่าย Fiber Optic จึงต้องอาศัยเทคนิคการเชื่อมต่อที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้สัญญาณที่มีคุณภาพและเสถียร หนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Fusion Splice ซึ่งช่วยลดการสูญเสียสัญญาณ (Loss) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานยาวนาน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก ตั้งแต่หลักการทำงาน อุปกรณ์ที่ใช้ ปัจจัยที่มีผล ไปจนถึงการทดสอบสายและการบำรุงรักษาเครื่องมือ
Fusion Splice คืออะไร?

Fusion Splice คือกระบวนการเชื่อมต่อสายไฟเบอร์ออฟติก (Optical Fiber Cable) ด้วยการใช้ความร้อนจาก Arc Fusion ทำให้ปลายสายไฟเบอร์หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างถาวร แตกต่างจากการต่อแบบ Mechanical Splice ที่ใช้เพียงตัวจับยึด การเชื่อมด้วย Fusion Splice ช่วยให้ได้คุณภาพสัญญาณที่ดีกว่า สูญเสียต่ำกว่า และคงทนกว่า
หลักการทำงานของเชื่อมต่อสายไฟเบอร์ออฟติก
- เครื่อง Fusion Splicer จะจัดแนวเส้นใยไฟเบอร์ให้ตรงกัน
- ปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อสร้างความร้อน (Arc)
- ทำให้ปลายเส้นใยหลอมและเชื่อมติดกันถาวร
- หลังเชื่อม เครื่องจะวัดค่าการสูญเสียเพื่อยืนยันคุณภาพ
ข้อดีของเชื่อมต่อสายไฟเบอร์ออฟติก
- สูญเสียสัญญาณต่ำ (Insertion Loss ต่ำกว่า 0.1 dB)
- การสะท้อนสัญญาณ (Return Loss) ต่ำมาก
- ทนทานและถาวร เหมาะกับงานโครงข่ายใหญ่
- รองรับการใช้งานได้ทั้ง Single Mode และ Multi Mode
ความแตกต่างระหว่าง Fusion Splice และ Mechanical Splice
ใช้ความร้อนหลอมเส้นใยเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่แน่นหนาและถาวร ในขณะที่ Mechanical Splice ใช้เพียงอุปกรณ์จับยึดเพื่อให้เส้นใยสัมผัสกัน ข้อแตกต่างหลักอยู่ที่ คุณภาพของสัญญาณ และ ความทนทานในการใช้งาน โดย Fusion Splice เหมาะสำหรับงานโครงข่ายหลัก (Backbone, Data Center, FTTH) ส่วน Mechanical Splice มักใช้ในงานแก้ไขหรือซ่อมชั่วคราว
วิธีการเชื่อมต่อ | ข้อดี | ข้อจำกัด |
---|---|---|
Fusion Splice | การสูญเสียต่ำมาก เชื่อมต่อถาวร เหมาะกับงานโครงข่ายใหญ่ | ต้องใช้เครื่อง Fusion Splicer ราคาสูง และใช้เวลาเรียนรู้ |
Mechanical Splice | ทำได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เครื่องราคาแพง | การสูญเสียสูงกว่า อายุการใช้งานสั้นกว่า ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียรสูง |
อุปกรณ์ที่ใช้ในการ Fusion Splice
- Fusion Splicer – เครื่องหลักสำหรับ Arc Fusion
- Fiber Cleaver – เครื่องตัดเส้นใยให้เรียบตรง
- Stripper และ Alcohol – สำหรับปอกและทำความสะอาดเส้นใย
- Heat Shrink / Protection Sleeve – ป้องกันรอยเชื่อมจากแรงกดและความชื้น
- OTDR และ Power Meter – ใช้ตรวจสอบและทดสอบคุณภาพการเชื่อม
ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพการเชื่อมต่อสายไฟเบอร์ออฟติก
คุณภาพของการเชื่อมขึ้นอยู่กับความสะอาดของเส้นใย ความเรียบของหน้าตัด และการตั้งค่าเครื่อง Fusion Splicer ให้ตรงกับชนิดสาย เช่น Single Mode หรือ Multi Mode หากละเลยขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง อาจทำให้เกิดการสูญเสียสัญญาณสูงและส่งผลต่อคุณภาพเครือข่าย
ขั้นตอนการทำ Fusion Splice ที่ถูกต้อง

เริ่มจากการเตรียมสายไฟเบอร์โดยปอกปลอกหุ้มและทำความสะอาด จากนั้นใช้ Fiber Cleaver ตัดปลายสายให้เรียบ วางเส้นใยเข้ากับ Fusion Splicer เพื่อจัดแนวและเชื่อมต่อด้วย Arc Fusion เมื่อเชื่อมเสร็จควรป้องกันรอยเชื่อมด้วย Heat Shrink หรือ Protection Sleeve เพื่อเพิ่มความทนทาน
การทดสอบสายหลังการ Fusion Splice
การทดสอบคุณภาพเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อยืนยันว่าการเชื่อมมีคุณภาพตามมาตรฐาน โดยใช้อุปกรณ์อย่าง OTDR (Optical Time Domain Reflectometer) สำหรับตรวจสอบ Loss และตำแหน่งรอยเชื่อม รวมถึงการใช้ Power Meter & Light Source เพื่อตรวจสอบค่าการสูญเสีย การทดสอบเหล่านี้ช่วยป้องกันปัญหาเครือข่ายในอนาคต เมื่อติดตั้งสายไฟเบอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าสายเบอร์นั้นได้รับส่งข้อมูลได้ตามต้องการ ซึ่งการทดสอบด้านต่างๆ มีดังนี้

- การทดสอบด้านเมคานิก (Mechanical Tests)
- การทดสอบด้านกายภาพ (Geometrical Tests)
- การทดสอบเกี่ยวกับคุณสมบัติของสาย (Optical Tests)
- การทดสอบเกี่ยวกับการรับส่งสัญญาณ (Transmission Tests)
จะมีการใช้งานสายไฟเบอร์ต้องมีการตรวจวัดค่าคุณสมบัติต่างๆ ของสายก่อน ซึ่งการวัดค่าต่างๆ จะถูกอธิบายใน FOTP (Fiber Optic Test Procedure) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่กำหนดโดยสมาคม EIA (Electronic Industries Alliance) และถูกกำหนดใน ITU-TG 650 หรือในเอกสาร EN 188 000
ค่าการสูญเสียของสัญญาณ (Optical loss Budget)
Optical Loss Budget คือการคำนวณค่าการสูญเสียสัญญาณรวมที่เกิดขึ้นในระบบ Fiber Optic ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง โดยรวมปัจจัยต่าง ๆ เช่น การสูญเสียจากรอยเชื่อม (Splice Loss), คอนเนคเตอร์ (Connector Loss) และการสูญเสียตามระยะทาง (Fiber Attenuation)
- 0.2 db/km สำหรับการซิงเกิลโหมดที่ความยาวคลื่น 1550 nm
- 0.35 db/km สำหรับการซิงเกิลโหมดที่ความยาวคลื่น 1310 nm
- 1.0 db/km สำหรับการซิงเกิลโหมดที่ความยาวคลื่น 1300 nm
- 3.0 db/km สำหรับการซิงเกิลโหมดที่ความยาวคลื่น 850 nm
- 0.05 db สำหรับการสไปลซ์แบบหลอมละลาย (Fusion Splice)
- 0.1 db สำหรับการสไปลซ์เชิงกล (Mechanical splice)
- 0.2-0.5 db สำหรับการเชื่อมต่อโดยใช้หัวเชื่อมต่อ (Connector)
- 3.5 db สำหรับการใช้ตัวแยกสัญญาณจาก 1ไป 2 (Splitter)
ทั้งนี้ การออกแบบโครงข่ายควรคำนวณ Loss Budget ให้ต่ำกว่าค่าที่อุปกรณ์ส่งสัญญาณ (Transmitter) และอุปกรณ์รับสัญญาณ (Receiver) รองรับได้ เพื่อให้เครือข่ายทำงานได้อย่างเสถียร
การบำรุงรักษาและดูแลเครื่อง Fusion Splicer
การบำรุงรักษาที่ดีช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่อง เช่น ทำความสะอาด Electrode, เปลี่ยนเมื่อครบรอบการใช้งาน, อัปเดตซอฟต์แวร์เครื่อง และเก็บในที่แห้ง ปลอดฝุ่นและความชื้น เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกครั้ง
การเลือกซื้อเครื่อง Fusion Splicer ที่เหมาะสม
- ความเร็วในการเชื่อมต่อ (Splicing Time)
- ความแม่นยำของการจัดแนวเส้นใย (Core Alignment)
- ฟังก์ชันทดสอบ Loss อัตโนมัติ
- ขนาดและน้ำหนักที่สะดวกต่อการพกพา
- การรับประกันและบริการหลังการขายในไทย
ปัญหาที่มักพบเจอในการใช้งานและวิธีแก้ไข
- หน้าตัดไม่เรียบ → ใช้ Fiber Cleaver คุณภาพสูง
- เส้นใยไม่สะอาด → ทำความสะอาดด้วย Alcohol ทุกครั้ง
- จัดแนวไม่ตรง → ตรวจสอบการวางสายก่อนเชื่อม
- Loss สูงเกินมาตรฐาน → ทดสอบด้วย OTDR แล้วแก้ไขทันที
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า Fusion Splice คือเทคนิคที่ช่วยให้การเชื่อมต่อสาย Fiber Optic มีคุณภาพสูงสุด ทั้งด้านการลดการสูญเสียสัญญาณ ความทนทาน และเสถียรภาพระยะยาว จึงเหมาะสำหรับทุกโครงการตั้งแต่การติดตั้งในอาคารจนถึง Backbone ของเมือง หากคุณกำลังมองหา เครื่อง Fusion Splicer และอุปกรณ์ Fiber Optic ติดต่อได้ที่ Line Official : @focomm หรือโทร 02 973 1966 / 081 659 4477 (Admin) เพื่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้ทันที